บทความ
NAVIGATING THE NEW CLIMATE WORLD ORDER
23/06/2568คุณจรีพร จารุกรสกุล
ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม
บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
ปัจจุบันการกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในสมัยที่สองของ โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังสร้างจุดเปลี่ยนทางภูมิรัฐศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมครั้งสำคัญของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากนโยบายที่เน้นการลดบทบาทของสหรัฐฯ ในการแก้ปัญหาภูมิอากาศโลก โดยหนึ่งในนโยบายหลักที่คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในช่วงต้นปี 2026 คือการลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อถอนตัวออกจากความตกลงปารีส นอกจากนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ยังกลับมาให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมพลังงานฟอสซิลมากกว่าการสนับสนุนพลังงานหมุนเวียน พร้อมทั้งมีแนวโน้มลดงบประมาณของสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อม (EPA) และอาจยุติการสนับสนุนด้านการเงินในโครงการสิ่งแวดล้อมระดับนานาชาติอีกด้วย
แม้ว่านโยบายดังกล่าวของสหรัฐฯ จะสร้างแรงสั่นสะเทือนในเวทีโลก และอาจทำให้การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำทั่วโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่และมีสัดส่วนการปล่อยคาร์บอนสูง อย่างไรก็ตาม ประเทศต่าง ๆ ยังคงเดินหน้าลงทุนในเทคโนโลยีสะอาด พลังงานหมุนเวียน และการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะจีนและสหภาพยุโรปที่ผลักดันนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มจะก้าวขึ้นมามีบทบาทนำในเวทีภูมิอากาศโลกมากยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกัน นักลงทุนทั่วโลกก็ยังคงให้ความเชื่อมั่นต่อเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและพลังงานสะอาด ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในระเบียบด้านสภาพภูมิอากาศโลกที่ไม่ผูกติดกับประเทศมหาอำนาจเพียงรายใดรายหนึ่งอีกต่อไป แต่เป็นการแข่งขันด้วยวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นในเศรษฐกิจสีเขียว
ฉะนั้น ในช่วงเวลานี้จึงนับเป็นช่วงเวลาที่สำคัญสำหรับประเทศไทยในการยกระดับบทบาทบนเวทีโลกเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาด้านสภาพภูมิอากาศ โดยเริ่มจากการแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนในการผลักดันเศรษฐกิจสีเขียว พร้อมเร่งแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมภายในประเทศ นอกจากนี้ รัฐควรเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว เช่น ระบบไฟฟ้าพลังงานสะอาด เทคโนโลยีแบตเตอรี่ขั้นสูง วัสดุที่ยั่งยืน และระบบดักจับคาร์บอน (CCUS) ควบคู่ไปกับการพัฒนาทักษะแรงงานไทยให้พร้อมรองรับอุตสาหกรรมสีเขียวแห่งอนาคต โดยรัฐบาลควรออกแบบมาตรการทางภาษีและกลไกทางการเงิน เพื่อจูงใจภาคธุรกิจให้ลงทุนในเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งเชื่อมโยงมาตรฐานภายในประเทศเข้ากับมาตรการสากล เช่น European Green Deal และ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยในตลาดโลก
โดยภาคธุรกิจเองก็ต้องปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก พร้อมมองหาโอกาสใหม่ในอุตสาหกรรมที่ยั่งยืน โดยควรให้ความสำคัญกับการลงทุนในนวัตกรรมด้านพลังงานสะอาด เทคโนโลยีลดคาร์บอน และการพัฒนากระบวนการผลิตที่ใช้หลักเศรษฐกิจหมุนเวียนที่จะเข้าช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว นอกจากนี้ ควรประเมินความเสี่ยงอย่างรอบด้าน พร้อมมีแผนสำรองรับมือ เช่น การกระจายแหล่งวัตถุดิบ การสร้างความแข็งแกร่งให้ห่วงโซ่อุปทาน ด้วยการกระจายแหล่งจัดซื้อและลงทุนในระบบโลจิสติกส์ที่ยั่งยืน ขณะเดียวกันก็ต้องเตรียมพร้อมปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับข้อกำหนดเฉพาะในแต่ละภูมิภาค เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกที่กำลังมุ่งหน้าสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างเต็มรูปแบบ
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ท้าทายให้ทุกประเทศต้องเร่งปรับตัว ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้ประเทศที่มีศักยภาพในขับเคลื่อนความยั่งยืนได้ก้าวขึ้นมามีบทบาทนำบนเวทีโลก หากเราสามารถลงทุนอย่างมีวิสัยทัศน์ รวมทั้งวางนโยบายให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล และสร้างความร่วมมือในระดับภูมิภาคและระดับโลกอย่างต่อเนื่องก็จะสามารถสร้างความได้เปรียบทั้งในเชิงเศรษฐกิจ นโยบาย และสิ่งแวดล้อม พร้อมก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจสีเขียวในภูมิภาคและมีบทบาทในเวทีโลกอย่างแท้จริงนั่นเอง