記事
COPING GLOBAL CLIMATE DISASTER
25/08/2025คุณจรีพร จารุกรสกุล
ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม
บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
ภาวะโลกร้อนเป็นวิกฤตที่โลกไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แม้ทั่วโลกจะมีความร่วมมือกันภายใต้ข้อตกลงปารีสเพื่อจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5°C แต่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกกลับยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อ้างอิงจากรายงานของ IPCC ระบุว่า อุณหภูมิเฉลี่ยโลกเพิ่มขึ้นแล้วกว่า 1.2°C และมีแนวโน้มที่จะเกิน 1.5°C ก่อนปี 2030 โดยสาเหตุหลักเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ ทั้งการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล การตัดไม้ทำลายป่า และการผลิตอุตสาหกรรม ซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อสมดุลของระบบภูมิอากาศอย่างรุนแรง ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกประเทศต้องเร่งดำเนินมาตรการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจัง เพื่อป้องกันไม่ให้โลกเข้าสู่ “จุดพลิกผัน” ที่ทำให้ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงไปอย่างถาวร
โดยหากอุณหภูมิโลกสูงเกินเป้าหมาย ผลกระทบที่ตามมานั้นจะรุนแรงและกระจายเป็นวงกว้าง ทั้งในรูปแบบของภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น น้ำท่วมฉับพลัน คลื่นความร้อน พายุ หรือภัยแล้ง ซึ่งทั้งหมดล้วนส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตความเป็นอยู่และสุขภาพของประชาชน รวมถึงระบบนิเวศและพื้นที่เกษตรกรรมที่ทำให้ผลผลิตเสียหายจนอาจเกิดความเสี่ยงต่อความมั่นคงทางอาหารของโลก นอกจากนี้ ระบบเศรษฐกิจก็ได้รับผลกระทบจากการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานและค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งผลกระทบเหล่านี้อาจยิ่งรุนแรงขึ้นในกลุ่มประเทศเปราะบาง
ดังนั้น นอกเหนือจากการดำเนินการเพื่อลดความเสี่ยงและป้องกันวิกฤตอย่างการเร่งเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติแล้ว การวางแผนเพื่อรับมือเมื่อเกิดภัยพิบัติก็มีสำคัญไม่แพ้กัน โดยขั้นพื้นฐานในการลดความสูญเสียอาจเริ่มได้จากการให้ความรู้ประชาชน การทำแผนบริหารความเสี่ยง จวบจนการติดตั้งระบบเตือนภัยล่วงหน้าที่เหมาะสมกับบริบทเฉพาะของแต่ละพื้นที่ ขณะเดียวกัน การออกแบบและปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานให้ยืดหยุ่นต่อสภาพอากาศและทนทานต่อภัยพิบัติ เช่น เขื่อนกั้นน้ำ ระบบระบายน้ำที่ทันสมัย และอาคารที่รองรับความร้อนสูง ก็ช่วยเสริมความพร้อมในการรับมือภัยพิบัติได้เช่นกัน
นอกจากการพัฒนาระบบเชิงโครงสร้างพื้นฐานแล้ว เทคโนโลยียังสามารถเข้ามาช่วยเป็นเครื่องมือสำคัญในการเสริมศักยภาพการรับมือต่อภัยพิบัติได้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น ตั้งแต่การใช้ Sensor เพื่อตรวจวัดสภาพอากาศ ระดับน้ำ ตรวจจับความร้อนแบบเรียลไทม์ เพื่อนำข้อมูลที่ได้รับให้ AI วิเคราะห์และพยากรณ์สภาพอากาศและภัยพิบัติได้แม่นยำยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การใช้ Big Data และ Risk Mapping ยังช่วยให้สามารถวิเคราะห์ความเสี่ยงแบบเฉพาะพื้นที่และบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือ ประเทศญี่ปุ่น ที่พัฒนาระบบเซนเซอร์ตรวจจับแผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิพร้อมเชื่อมโยงข้อมูลจาก Big Data และเตือนภัยล่วงหน้าด้วย AI เพื่อส่งต่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลทันเวลา ขณะที่ NASA ได้ใช้ดาวเทียม SWOT วิเคราะห์และคาดการณ์ภัยสึนามิที่เกิดจากแผ่นดินไหวใต้ทะเล ซึ่งเป็นภัยที่ยากต่อการทำนาย พร้อมทั้งใช้ AI ช่วยจำลองเหตุการณ์ล่วงหน้า ทำให้ลดผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ท้ายที่สุด การรับมือกับภัยพิบัติจากภูมิอากาศไม่ใช่เพียงหน้าที่ของประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่เป็นภารกิจร่วมกันของมวลมนุษยชาติ ซึ่งการดำเนินการต้องเกิดขึ้นพร้อมกันทั้งในเชิงป้องกันและปรับตัว โดยอาศัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควบคู่ไปกับการสร้างความตระหนักรู้และความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง ถึงแม้เป้าหมายการควบคุมอุณหภูมิจะยังดูห่างไกล แต่เราทุกคนก็ยังมีโอกาสที่จะเริ่มต้นลงมือพยายามใหม่ หากทุกฝ่ายร่วมมือกันอย่างจริงจัง เราก็มีโอกาสที่จะชะลอและบรรเทาความรุนแรงของวิกฤตครั้งนี้ เพื่อปกป้องโลกและอนาคตของคนรุ่นถัดไป