Articles

HOW AI POWERS AND PRESSURES SUSTAINABILITY

17/11/2025

คุณจรีพร จารุกรสกุล

ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม

บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้กลายเป็นพลังสำคัญที่ขับเคลื่อนโลกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว โดยไม่เพียงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้มากขึ้นเท่านั้น แต่ยังเข้ามาช่วยผลักดันประเด็นด้านความยั่งยืนอีกด้วย ซึ่ง AI ถูกนำมาใช้เป็นตัวช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อคาดการณ์แนวโน้มและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต รวมไปถึงมีความสามารถในการวางแผนการใช้ทรัพยากรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ดังนั้น ด้วยศักยภาพเหล่านี้ AI จึงกลายมาเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยสนับสนุนทั้งประเทศและองค์กรต่าง ๆ ในการก้าวไปสู่ความยั่งยืน

จากรายงาน AI in Environmental Sustainability Market Report 2025 ของ Future Market Insights คาดการณ์ว่า มูลค่าตลาดการใช้ AI เพื่อความยั่งยืนจะเติบโตอย่างรวดเร็วจาก 19.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2025 เป็น 120.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2035 โดยการเติบโตดังกล่าวได้รับแรงหนุนจากทั้งความตื่นตัวต่อปัญหาสภาพภูมิอากาศ กฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดมากขึ้น และความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่สามารถเข้ามาช่วยให้การจัดเก็บ วิเคราะห์ และประเมินข้อมูลมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยในทางปฏิบัติ AI ถูกนำมาใช้จริงในหลายสาขา เช่น ด้านสิ่งแวดล้อม Global Forest Watch ร่วมมือกับ Google Earth Engine เพื่อนำ AI มาช่วยตรวจจับการตัดไม้ทำลายป่า สิงคโปร์ได้นำ AI มาใช้บริหารพลังงานในอาคารกว่า 30 แห่งซึ่งส่งผลให้สามารถลดการใช้ไฟได้ถึง 15% หรือด้านการจัดการของเสีย H&M นำ AI มาใช้ในการออกแบบผลิตภัณฑ์แบบ Zero Waste ตัวอย่างเหล่านี้สามารถสะท้อนให้เห็นว่า AI ไม่เพียงเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นแรงสนับสนุนสำคัญในการดำเนินงานตามเป้าหมายด้านความยั่งยืนทั้งในระดับโลกและระดับองค์กรอย่างเป็นรูปธรรม

แม้ AI จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนโลกไปสู่ความยั่งยืน แต่ในทางกลับกันการเติบโตของเทคโนโลยีนี้กลับสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเช่นกัน เนื่องจากการฝึกสอนโมเดลขนาดใหญ่และการประมวลผลข้อมูลต้องพึ่งพาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จำนวนมากที่ต้องใช้กระแสไฟฟ้าและน้ำในการระบายความร้อนอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การอัปเกรดเซิร์ฟเวอร์และชิปประมวลผลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพยังเร่งให้เกิดขยะอิเล็กทรอนิกส์ (e-waste) จำนวนมาก เพราะอุปกรณ์เหล่านี้มีอายุการใช้งานเฉลี่ยเพียง 2–5 ปี และมักมีโลหะหนักอย่างตะกั่วและแคดเมียมเป็นส่วนประกอบซึ่งหากกำจัดไม่ถูกวิธีอาจก่อมลพิษต่อดินและน้ำ ด้วยเหตุนี้ หลายองค์กรจึงเริ่มตระหนักและพัฒนาแนวคิด Sustainable AI หรือ การพัฒนา AI อย่างยั่งยืน เพื่อบริหารผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมตลอดวงจรชีวิตของเทคโนโลยี ตั้งแต่การออกแบบฮาร์ดแวร์ด้วยวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและเพิ่มประสิทธิภาพเพื่อยืดอายุการใช้งาน ไปจนถึงการเพิ่มประสิทธิภาพของโมเดลให้ใช้พลังงานในการประมวลผลน้อยลง ตลอดจนการลดการปล่อยคาร์บอนในการดำเนินงานด้วยการใช้พลังงานหมุนเวียนและการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานของอุปกรณ์ โดยปัจจุบันบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกต่างได้ประกาศเป้าหมายด้านความยั่งยืนและขับเคลื่อนความยั่งยืนในการดำเนินงานของตนเอง เช่น Nvidia ที่กำลังพัฒนาชิป ที่ช่วยลดการใช้พลังงานลงได้ถึง 10 เท่า ขณะที่ Microsoft และ OpenAI ก็ให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานหมุนเวียนในการดำเนินงานเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม AI ไม่ควรถูกมองว่าเป็นศัตรูของความยั่งยืน แต่เป็นกลไกขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านที่ช่วยเร่งให้โลกก้าวสู่ความยั่งยืนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น หากได้รับการออกแบบและบริหารจัดการอย่างมีวิสัยทัศน์ ควบคู่กับการกำหนดนโยบายด้านพลังงานสะอาดและการส่งเสริมวัฒนธรรมการใช้เทคโนโลยีอย่างรับผิดชอบซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ AI สามารถสร้างคุณค่าที่แท้จริงต่อทั้งสังคมและสิ่งแวดล้อม เพราะสุดท้ายแล้ว ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและความยั่งยืนคือสองเส้นทางที่ต้องเติบโตไปด้วยกันนั่นเอง