Articles

THE FUTURE OF OFFICE

15/12/2021

คุณจรีพร จารุกรสกุล

ประธานคณะกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม

บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)

ในทศวรรษที่ผ่านมา การพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยี ประกอบกับการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ทำให้เทรนด์การทำงานแบบทางไกล หรือ Remote Working ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวก็ได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจสำนักงานให้เช่า อาทิ การชะลอการตัดสินใจย้ายหรือขยายพื้นที่สำนักงาน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม องค์กร Globe Newswire ก็ได้เปิดเผยว่าตลาดสำนักงานสำเร็จรูปให้เช่าทั่วโลกนั้นยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและคาดว่าจะมูลค่าสูงถึง 84.5 พันล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2025 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีตั้งแต่ปี 2021 ถึงปี 2025 เท่ากับร้อยละ 27 เลยทีเดียว

แม้การทำงานแบบทางไกลจะช่วยลดผลกระทบไม่ให้การทำงานต้องหยุดชะงัก อย่างไรก็ตามรูปแบบการทำงานดังกล่าวก็ไม่สามารถทดแทนการทำงานในสำนักงานได้อย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การทำงานระหว่างแผนก การระดมความคิดสร้างสรรค์ รวมถึงการสร้างวัฒนธรรมองค์กร ด้วยเหตุนี้ หลายองค์กรจึงเตรียมประกาศให้พนักงานกลับเข้าทำงานที่สำนักงานหรือใช้โมเดลการทำงานแบบผสมผสาน หรือ Hybrid Working ตัวอย่างเช่น Goldman Sachs และ Morgan Stanley บริษัทผู้ให้บริการทางการเงินสัญชาติอเมริกันที่เตรียมประกาศใช้นโยบาย Return-to-office ในช่วงต้นปี 2022 แม้จะยังมีการระบาดของไวรัส COVID-19 นอกจากนี้ ยังมี Google บริษัทผู้พัฒนาเสิร์ชเอนจินระดับโลกที่ได้วางแผนให้พนักงานเข้าทำงานที่สำนักงานอย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์ เป็นต้น

สำหรับประเทศไทย ศูนย์วิจัยกรุงศรีก็ได้เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมาตลาดสำนักงานให้เช่านั้นได้รับปัจจัยสนับสนุนจากความต้องการใช้พื้นที่สำนักงานใหม่เพิ่มขึ้นจากอุตสาหกรรมที่เติบโตได้ท่ามกลางวิกฤตโรคระบาด อาทิ E-Commerce เทคโนโลยี และโลจิสติกส์ เป็นต้น โดยตลาดสำนักงานให้เช่ามีแนวโน้มทรงตัวในปี 2021 และคาดว่าจะเริ่มปรับตัวสูงขึ้นอีกครั้งในปี 2022 และปี 2023 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 1.8 ต่อปี อันเป็นผลจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ หากสถานการณ์ระบาดของไวรัส COVID-19 ได้คลี่คลายลงนั่นเอง

ในขณะเดียวกัน ภาคธุรกิจสำนักงานให้เช่าเองก็ต่างปรับตัวโดยการนำเอาเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาพัฒนาสำนักงานที่ทันสมัยให้สามารถตอบโจทย์เทรนด์การทำงานยุคใหม่และสอดคล้องกับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดไปพร้อมๆกัน ตัวอย่างเช่น WHA Group ที่ได้พัฒนาโครงการ WHA Tower อาคารสำนักงานระดับพรีเมี่ยมสูง 25 ชั้นในย่านบางนา ประกอบด้วยพื้นที่รวมกว่า 52,000 ตารางเมตร ซึ่งสามารถออกแบบให้ได้ตามความต้องการของผู้เช่าจากหลากหลายอุตสาหกรรมได้อย่างลงตัว (Flexible Office) พร้อมทั้งมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัยครบครัน จึงสามารถส่งเสริมการทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งอาคารดังกล่าว ยังมีการนำเอาเทคโนโลยีดิจิทัล อาทิ ระบบกล้องอ่านป้ายทะเบียนรถยนต์ (License Plate Recognition), Face Check-in และเครื่องตรวจวัดอุณหภูมิอัตโนมัติ เป็นต้น มาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มศักยภาพการบริหารจัดการอาคาร ยกระดับระบบรักษาความปลอดภัย ตลอดจนเสริมสร้างสุขอนามัยที่ดีให้แก่ผู้เช่าอีกด้วย

ตลาดสำนักงานให้เช่าของประเทศไทยนั้นนับว่ามีความได้เปรียบประเทศอื่นในภูมิภาคเดียวกันอยู่หลายด้าน อาทิ ยุทธศาสตร์ที่ตั้งที่เป็นศูนย์กลางด้านการค้าและการลงทุน และ อัตราค่าเช่าสำนักงานที่ยังไม่สูงมากนัก เป็นต้น ช่วงเวลานี้จึงถือเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ประเทศไทยจะคว้าโอกาสจากความได้เปรียบในการเร่งพัฒนาอาคารสำนักงานที่ได้มาตรฐานระดับสากล ซึ่งไม่เพียงแต่พร้อมไปด้วย soft infrastructure สำหรับรองรับธุรกิจแห่งอนาคต มีความยืดหยุ่นและฟังก์ชั่นการใช้งานที่สนับสนุนการทำงานแนวใหม่ในโลกยุคดิจิทัล อีกทั้งยังต้องส่งเสริมความเป็นอยู่ดีให้แก่ผู้อยู่อาศัยด้วยนั่นเอง