文章

CLIMATE DIPLOMACY

04/08/2025

คุณจรีพร จารุกรสกุล

ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม

บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์เป็นอย่างมาก ก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากประเทศหนึ่งสามารถส่งผลต่อประเทศอื่นๆ และกลายเป็นปัญหาข้ามพรมแดนที่ยากต่อการจัดการโดยรัฐใดเพียงรัฐหนึ่ง การแก้ปัญหาจึงจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศที่ทำงานเชื่อมโยงประสานกัน

การทูตด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Diplomacy) จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการสร้างฉันทามติระหว่างประเทศและกำหนดเป้าหมายการพัฒนาร่วมกันผ่านเครื่องมือและกลไกต่างๆ การเจรจาต่อรอง การสร้างพันธมิตรและเครือข่าย ตลอดจนการสร้างความตระหนักและความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับสากล

แม้ว่าการประชุม COP29 ที่ผ่านมาจะสามารถบรรลุข้อตกลงครั้งสำคัญเรื่องเงินทุนด้านสภาพภูมิอากาศโดยประเทศที่พัฒนาแล้วจะเป็นผู้นำการระดมทุนสำหรับประเทศกำลังพัฒนา 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันการทูตด้านสภาพภูมิอากาศก็ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายทั้งเรื่องความแตกต่างทางเศรษฐกิจและระดับการพัฒนา โดยประเทศที่พัฒนาแล้วแม้ว่าจะมีอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสะสมสูง แต่ก็มีความสามารถในการลงทุนด้านเทคโนโลยีสะอาดและพลังงานหมุนเวียนที่มากกว่า ในทางกลับกันประเทศกำลังพัฒนามักจะประสบปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรหรือความขัดแย้งระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือประเทศที่มีเศรษฐกิจพึ่งพาอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลก็มีแนวโน้มที่จะไม่ตอบสนอง หรือต่อต้านนโยบายที่จำกัดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล รวมถึงความไม่เท่าเทียมทางสังคมและผลประโยชน์ทางการเมืองระยะสั้นที่ส่งผลต่อความสามารถในการรับมือกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของหลายประเทศ

ทั่วโลกจึงพยายามพัฒนาวิธีการใหม่ๆ เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ (1) เทคโนโลยีดิจิทัล เข้ามาปฏิวัติวิธีการสื่อสารและการทำงานร่วมกันผ่านแพลตฟอร์ม อาทิ Climate Action Tracker, Climate TRACE ฯลฯ ที่มีเทคโนโลยีดาวเทียม ฐานข้อมูลและเครื่องมือวิเคราะห์ช่วยให้ประชาชนทั่วโลกสามารถเข้าถึงข้อมูลและติดตามความคืบหน้าของการดำเนินงานด้านสภาพภูมิอากาศได้อย่างโปร่งใส (2) มาตรการทางภาษี และการพัฒนา Emissions Trading Systems เพื่อเป็นทางเลือกการซื้อขายสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจกระหว่างประเทศต่างๆ (3) การพัฒนากลไกทางการเงินรูปแบบใหม่ เช่น ตราสารหนี้สีเขียว (Green Bonds) การจัดตั้งกองทุน Clean Technology Fund (CTF) หรือกองทุนภูมิอากาศสีเขียว (Green Climate Fund) เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของประเทศกำลังพัฒนา

(4) นวัตกรรม การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น เทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage) โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactor) วิศวกรรมธรณี (Geoengineering) รวมถึงการทูตวิทยาศาสตร์เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้และเทคโนโลยีระหว่างประเทศ (5) การเพิ่มบทบาทของภาคเอกชนและประชาสังคม เช่น องค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) และตัวแทนภาคธุรกิจสามารถเข้าร่วมการเจรจาระหว่างประเทศด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและจัดกิจกรรมคู่ขนานในฐานะผู้สังเกตการณ์ เป็นต้น

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาประเทศไทยได้มีบทบาทสำคัญในการช่วยลดปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกผ่านการทูตด้านสภาพภูมิอากาศ ทั้งการเข้าไปมีส่วนร่วมในเวทีประชุมสำคัญระหว่างประเทศ เช่น การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างสม่ำเสมอ หรือการแสวงหาความร่วมมือกับกองทุนระหว่างประเทศ การจัดทำร่างพ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงการกำหนดเป้าหมาย NDC3.0 สำหรับปี 2035 ที่จะเข้มข้นมากยิ่งขึ้น ซึ่งการผลักดันให้เกิดการดำเนินการอย่างต่อเนื่องและความร่วมมือจากทุกภาคส่วนก็จะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้การขับเคลื่อนด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยสามารถบรรลุพันธกรณีตามที่ประเทศได้ให้คำมั่นไว้นั่นเอง